รับมือกับความรู้สึกอย่างไรในวันที่หมอบอกเราว่าเป็น มะเร็งเต้านมชนิด Her2(เฮอร์ทู) –

รับมือกับความรู้สึกอย่างไรในวันที่หมอบอกเราว่าเป็น มะเร็งเต้านมชนิด Her2(เฮอร์ทู) –

…ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เรื่องราวมหากาฬกับเจ้ามะเร็งเต้านม

รับมือกับความรู้สึกอย่างไรในวันที่หมอบอกเราว่าเป็น มะเร็งเต้านมชนิด Her2(เฮอร์ทู) –

แอน

ขอเล่าเรื่องราวของแอนก่อนเจอเจ้าก้อนสักหน่อยนะคะ

รับมือกับความรู้สึกอย่างไรในวันที่หมอบอกเราว่าเป็น มะเร็งเต้านมชนิด Her2(เฮอร์ทู) -

รับมือกับความรู้สึกอย่างไรในวันที่หมอบอกเราว่าเป็น มะเร็งเต้านมชนิด Her2(เฮอร์ทู) –

เพื่อปูทางให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านได้เข้าใจในเนื้อหาทุกตอนต่อจากนี้

แอนเป็นคนหนึ่งที่ดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอดหลายปี เป็นนักวอลเลย์บอลประจำจังหวัด

ออกกำลังกายต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน เป็นครูสอนโยคะที่เล่นโยคะมาเป็น 10ปี

เป็นนักวิ่งในทีมชีต้ารันนิ่งเบตง วิ่งจบในระยะฮาร์ฟมาราธอนมาก็หลายครั้ง

ว่ายน้ำได้เป็นกิโลๆ เรียกได้ว่าเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ เลยค่ะ

ไม่มีอะไรเป็นข้อบ่งชี้ของการมีเจ้าก้อนมะเร็งในร่างกายเลยค่ะ จนกระทั้งหลังคลอดลูกคนที่สอง

ในระหว่างที่ให้นมลูกในช่วงปีหลังๆก่อนที่ลูกจะหย่านม เริ่มเจ็บที่บริเวณหัวนมทุกครั้งที่ลูกเข้าเต้า

ลึกๆ คิดว่าอาจจะเกิดจากเต้านมคัด แต่มีอีกความรู้สึกนึงเกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่แอนฝึกโยคะ

เมื่อได้อยู่กับลมหายใจ โฟกัสอยู่ที่ร่างกาย ทำให้รู้สึกเหมือนมีอาการแปล๊บๆ บริเวณหน้าอกทางขวา

และคิดว่ามันแปลกๆกับสิ่งนี้ เพราะในทุกๆวัน ที่ฝึกโยคะ

แอนจะสังเกตุร่างกายตัวเองตลอดเวลา

บวกกับมีเพื่อนคนนึงเพิ่งไปตรวจเจอมะเร็งเต้านมระยะที่สามมา

ทำให้แอนตัดสินใจไปตรวจสุขภาพประจำปีหลังจากไม่ได้ตรวจมา 2ปีในช่วงที่โควิดระบาด

ผลตรวจทุกอย่างคือดีมากถึงมากที่สุด แต่ก็มาสะดุดกับการอัลตร้าซาวน์เต้านม

เมื่อหมอพบว่ามีก้อนๆนึงที่เกิดขึ้นมาใหม่! ซึ่งเดิมแอนมีก้อนที่เต้านมอยู่แล้วข้างละ 1 ก้อน

เป็นมาตั้งแต่ก่อนจะตั้งท้อง ตรวจติดตามอาการมาตลอดทุกๆ 6 เดือน เหลือแค่ครั้งสุดท้ายก็ครบระยะ 3 ปีแล้ว แต่ก็ตั้งท้องซะก่อน

แล้วแอนให้นมลูกจนลูกอายุ 4 ขวบ ทำให้ไม่ได้ติดตามต่อมานาน ครั้งนี้เลยได้ตรวจละเอียดเพื่อดูเจ้าก้อนเดิมที่เคยมีอยู่

เจ้าก้อนเดิมที่มีก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะไม่ได้โตขึ้น แต่ก้อนใหม่ที่พบกลับโตกว่าก้อนที่เคยมี

และหมอก็แจ้งว่า เหมือนจะมีมุมแหลมๆเล็กนิดนึง

ทำให้แอนใช้เวลาพูดคุยกับหมออยู่นานว่าจะเอาแบบไหนดี ระหว่างเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจเลย

กับรอดูอาการไปอีก 6 เดือน จากการพูดคุยกับหมอ ข้อดี ของการเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจเลย คือ

ถ้าก้อนเนื้อนี้เป็นเนื้อร้ายจริง จะได้รักษาได้เร็วและมีโอกาสหายสูงมาก แต่ถ้าหากรอไปอีก 6 เดือน

มะเร็งอาจจะลุกลามไปกลายเป็นระยะที่สูงขึ้น จะสูญเสียโอกาสในการรักษาไปด้วย

*****(อยากบอกกับทุกคนการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญมากๆนะ

ทำให้เราอุ่นใจว่าเราปลอดภัยจากทุกโรค และหากตรวจพบโรค ก็จะทำให้เจอเร็ว รักษาเร็ว

มีโอกาสหายขาดสูงมาก)   แอนจึงตัดสินใจเจาะชิ้นเนื้อตรวจในวันนั้นเลย และรอฟังผลอีก 2 สัปดาห์

ระหว่างที่รอ ความรู้สึกตอนนั้นคือ บอกกับตัวเองแล้วว่า มันต้องมีอะไรแน่ๆ

เพราะก้อนใหม่ที่เพิ่งเจอกลับโตกว่าก้อนเดิมที่เคยมีอยู่ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นยังงัย

“แกก็ยังโชคดีนะเว้ย ที่เจอเร็วมาก”!!

!

ระหว่างรอผลจากการเจาะชิ้นเนื้อ แอนก็ยังคงได้ยิ้มและมีความสุขกับ การวิ่ง

…..แล้ววันฟังผลก็มาถึง ใจเด็ดมากนัดฟังผลวันที่ 1 มกราคม 2566 เริ่มต้นปีใหม่ไปเลยจ๊ะ

ความรู้สึกแรกตอนที่หมอบอกผลตรวจ ว่าเจ้าก้อนนี้เป็นเนื้อร้าย แอนก็โอเครับรู้ ตั้งสติ

(อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า ดูแลตัวเองออกกำลังกายก็เยอะ แล้วเป็นมะเร็งได้งัย

แบบนี้จะออกกำลังกายและดูแลตัวเองไปทำไม ในเมื่อสุดท้ายก็ตรวจพบเป็นมะเร็งอยู่ดี

ในบทความต่อๆไป แอนจะลงรายละเอียดในข้อดีจากการออกกำลังกาย

ที่ทำให้แอนผ่านช่วงเวลา การรักษาที่ทรมานมาได้ ให้นะคะ)

แล้วหลังจากนั้นก็บอกกับตัวเองว่า “ต้องทำความรู้จักกับเจ้ามะเร็งเต้านมนี้ให้ดีที่สุด

เพื่อจะอยู่ร่วมกันไปนานๆ (การรู้จักศัตรูให้มากที่สุด รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง ประมาณนั้นเลยค่ะ)

บทสนทนาหลังจากนั้น จึงเป็นการเก็บข้อมูลของแนวทางการรักษา

อัตราการหาย โน่นนี่นั่นเยอะมาก จำได้ว่าคุยเป็นชั่วโมงๆ จนหมอเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว

เลยขอถามแอนมาว่า ทำไมคนไข้ถึงไม่ถามคำถามที่คนทั่วไปถามเลยค่ะ

อันนี้คือคนไข้ช็อกหรือทำใจกับผลตรวจมาจากบ้านแล้ว แอนก็งงๆนิดนึง จึงถามหมอกลับไปว่า

แล้วปกติคนไข้เค้าต้องถามว่าอะไรบ้างค่ะ?  คำตอบคือ จะตายมั้ย จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน

บวกกับการร้องไห้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอนไม่ได้ทำ แอนแค่ตอบหมอไปว่า แอนคิดอยู่แค่อย่างเดียวว่า

แอนต้องหายและไม่ตาย แล้วจะทำอย่างไรละ นั่นก็คือ ต้องทำความรู้จักกับเจ้ามะเร็งนี้ให้มากที่สุด!

เตรียมร่างกายให้แข็งแรงที่สุด! พร้อมๆกับสภาพจิตใจแข็งแกร่งที่สุด! และบอกกับตัวเองว่า

วันนี้ก่อนเริ่มการรักษา แกโคตรแข็งแรงเลยนะเว้ย เมื่อวานนี้แกยังวิ่งได้เป็นสิบๆกิโลอยู่เลย

ยังโยคะได้สบายๆ เลย ยังทำโน่นนี้ได้เหมือนปกติ วันนี้แค่ตรวจเจอเจ้าก้อนเนื้อที่ไม่เป็นมิตร

และแค่ต้องเข้าสู่กระบวกการการรักษาเพื่อให้ได้กลับไป ทำในสิ่งที่รักที่เคยทำมันได้อีกครั้งก็แค่นั้น!!!

แต่จะบอกว่าถ้าไม่มีความรู้สึกดิ่งเลยก็จะดูโกหกเกินไป

ในความเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง ก็ยังมีความรู้สึกที่ต้องใช้เวลาในการจัดการอยู่

มันเป็นอารมณ์ดิ่ง ของความกังวลกับการที่เพิ่งเริ่มต้นทำความรู้จักกับเจ้ามะเร็งนี้ซะมากกว่า

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาข้อมูลอย่างจริงจังเลยทีเดียวละ

บวกกับความที่ลูกสาวยังเล็กอายุแค่ 5ขวบและเค้ามีความบกพร่องทางการได้ยิน(หูหนวก)

แถมยังเคยผ่าตัดลำไส้ตอนอายุ 1 เดือนมาแล้ว ทำให้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด

ในความเป็นแม่ ย่อมมีความรู้สึกดิ่งอยู่แล้ว แต่แอนบอกกับตัวเอง

“ถ้าวันนี้แกยอมแพ้ อ่อนแอ คนที่รักแกทั้งหมดเค้าจะเป็นยังงัยละ คนที่ต้องเข้มแข็งที่สุด คือ

ตัวเราเองนี่แหละเว้ย สู้เว้ยแข็งแรงขนาดนี้อย่าได้กลัว”

หลังจากพบหมอคุยแนวทางการรักษากันแล้ว แอนก็เดินทางกลับบ้าน

คุณเชื่อเรื่องความบังเอิญของโลกใบนี้มั่ยละ ว่าในวันที่เราจมดิ่งมันจะมีคนๆนึง

ปรากฏตัวเสมอๆ เพื่อดึงมือเราขึ้นมา และวันนี้ก็เช่นกัน

ในระหว่างที่แอนกำลังเดินไปร้านอาหาร

แอนบังเอิญเจอเพื่อนสนิทของแอน กำลังนั่งอยู่ที่ร้านข้าวของน้องชาย ซึ่งเป็นทางที่แอนเดินผ่านพอดี

ปกติเพื่อนคนนี้จะอยู่อีกจังหวัดนึง แต่วันนี้เหมือนเค้าแวะมาเยี่ยมพ่อพอดี

เชื่อมั้ยว่าประโยคแรกที่แอนพูดกับเพื่อนคือ เมิงกูเป็นมะเร็งเต้านมว่ะ

และสิ่งที่เพื่อนตอบกลับมามันโคตรฮีลใจเลยละ “เฮ้ย!!!

มันก็แค่โรคๆนึงที่เมิงเจอแล้วก็แค่รักษา เหมือนคนเป็นเบาหวานอ่ะเมิง” คำพูดง่ายๆ

แต่กลับทำให้กำแพงความกังวลทั้งหมดที่มีทะลายไปในพริบตา

และเพื่อนคนนี้ก็เคยอยู่กับแอนในเหตุการณ์สำคัญ อย่างวันที่หมอบอกว่า ลูกแอนหูหนวกด้วยเช่นกัน

คำพูดง่ายๆที่บอกว่า อย่างน้อยลูกเมิงก็อยู่กับเมิงและเค้าก็แข็งแรงดี

เราก็แค่เลี้ยงเค้าให้มีความสุขในแบบของเค้า

วันที่หมอบอกว่า แอนเป็นมะเร็งเต้านม

(นี่คือ ร้านข้าวมันไก่ของเพื่อนสนิทคนนั้นเอง หากผ่านไปในตัวเมืองยะลา แวะอุดหนุนกันนะคะ อร่อยมากกกกกกกก)

*****ขอบคุณเมิงสุดหัวใจ ที่อยู่ข้างๆกันในทุกช่วงเวลา🫶🫶🫶

วันนี้ที่เลือกมาเขียนเล่าเรื่องราวนี้ เพื่อแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ของการมีใครสักคนที่อยู่ข้างๆ เรา

ในวันที่เรากำลังจมดิ่ง เป็นมือที่ดึงเราขึ้นมาให้เข้มแข็ง

แอน โชคดีมาก ในวันนั้นที่มีกำลังใจจากครอบครัว และเพื่อนคนนี้

จึงอยากส่งต่อความรู้สึกที่แอนเคยได้รับมา

ให้กับใครก็ตามที่ วันนี้กำลังพบเจอกับเรื่องราวที่อาจจะไม่ได้สวยงามนัก

อาจจะเป็นผู้ป่วยที่กำลังเผชิญกับเจ้ามะเร็ง เป็นคนในครอบครัว เป็นเพื่อน

หรือเป็นใครสักคนที่มีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวของใครอยู่ก็ตาม

การได้เป็นใครสักคนที่รับฟังและพูดประโยคง่ายๆ ปลดล็อกทุกความกังวลใจลงได้

เป็นมือที่ดึงเค้าเหล่านั้นขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกที่อิ่มเอมในหัวใจที่สุด

แอน อยากจะเป็นใครคนนั้นส่งต่อความรู้สึกดีๆ ให้ใครก็ตามที่ผ่านมาอ่านเจอ อยากให้รู้ว่า

คุณไม่ได้เผชิญเรื่องราวนั้นตามลำพัง หากยังมีคนๆนึง ที่พร้อมรับฟัง แบ่งปัน

แชร์ความรู้สึกให้กันและกัน ขอให้บทความนี้เป็นเหมือนตัวแทนของเพื่อนคนนั้น

เป็นมือที่ดึงคุณขึ้นมาจากทุกความรู้สึกที่กำลังจมดิ่งให้ได้ขึ้นมาชื่นชมความสวยงามอีกมากมาย

ด้านบนของโลกใบนี้🤍

วันหลังจากฟังผลแล้ว แอนก็ยังคงกลับมาวิ่ง เพื่อเติมพลังกายและพลังใจให้แข็งแรง เตรียมเข้าสู้ ช่วงเวลาซ่อมร่าง

🤍🤍🤍

**********ฝากเป็นกำลังใจและติดตามบทความในภาคต่อๆไปด้วยนะคะ ยังมีเรื่องราวที่อยากแบ่งปันอีกเยอะเลยค่ะ********

ระหว่างรอเข้าไปแบ่งปันเรื่องราวดีๆกันใน facebook ชื่อ Frung Ann กันได้นะ

แก้ไขข้อความเมื่อ